การวัดระดับกลูโคสในพลาสมา การตรวจเลือดชนิดนี้จะมีขึ้นหลังจากคุณอดอาหารเป็นเวลาประมาณ 8 ชั่วโมงแล้ว โดยปกติจะตรวจเลือดในตอนเช้าก่อนช่วงอาหารเช้า การตรวจชนิดนี้จะช่วยวินิจฉัยโรคเบาหวาน และภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน ซึ่งเป็นภาวะเมื่อระดับกลูโคสสูง แต่ยังไม่สูงพอที่จะวินิจฉัยว่าคุณเป็นโรคเบาหวาน ปริมาณน้ำตาลในเลือดของคุณสามารถบ่งชี้ว่าคุณเป็นโรคเบาหวานหรือไม่ ระดับน้ำตาลในเลือดสูงไม่เกิน 99 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร (mg/dL. ) ถือว่าอยู่ในระดับปกติ ระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในระดับ 100-125 mg/dL จะถูกวินิจฉัยว่ามีภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน (ภาวะของคนที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ แต่ยังไม่ถึงระดับที่จัดว่าเป็นเบาหวาน) ระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ที่ 126 mg/dL. หรือสูงกว่า จะถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวาน 2. การตรวจ HbA1c มีอีกชื่อที่เรียกกันว่าการตรวจ "A1C" หรือการตรวจ hemoglobin A1c การตรวจชนิดนี้ประเมินระดับกลูโคสของคุณ ว่าได้รับการควบคุมดีระดับไหนจากช่วงเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานควรไปรับผลตรวจ A1C อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เพราะเป็นการตรวจประเภทที่วัดระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีที่สุด ผู้ที่มีผลตรวจบ่งชี้ว่ามีภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานจะมีความเสี่ยง 40% ของการพัฒนาที่จะเป็นโรคเบาหวานภายในระยะเวลา 5 ปี ถ้าพวกเขาไม่ปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินชีวิต และสุขภาพโดยรวม 3.
รู้ครบเรื่องโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ความหมาย อาการ สาเหตุ การวินิจฉัยและรักษา เผยแพร่ครั้งแรก 2 ธ. ค. 2017 อัปเดตล่าสุด 17 พ. ย. 2020 ตรวจสอบความถูกต้อง 4 ธ. 2019 เวลาอ่านประมาณ 6 นาที โรคเบาหวานชนิดที่ 2 คืออะไร? โรคเบาหวานชนิดที่ 2 คือภาวะที่ร่างกายไม่สามารถสร้างฮอร์โมนอินซูลินได้เพียงพอ หรือไม่สามารถนำอินซูลินไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปกติมักพบในวัยกลางคนถึงวัยอายุมาก เบาหวานชนิดที่ 2 เป็นชนิดที่พบมากที่สุด เป็นโรคที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายมีระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดสูงกว่าปกติ ซึ่งน้ำตาลกลูโคสเป็นแหล่งพลังงานหลักของเซลล์ที่ได้จากการรับประทานอาหาร และถูกนำเข้ามาโดยฮอร์โมนอินซูลินที่สร้างจากตับอ่อน แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ ตรวจเบาหวานวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 664 บาท ลดสูงสุด 4705 บาท จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
โรคเบาหวานประเภทที่2 (Type2 Diabetes) หรือประเภทไม่พึ่งอินซูลิน (Non-insulin dependent diabetes mellitus, NIDDM) ซึ่งเดิมเคยเรียกว่า โรคเบาหวานผู้ใหญ่ (Maturity onset diabetes) โรคเบาหวานชนิดนี้ พบมากที่สุดประมาณร้อยละ 95-97 ของผู้ป่วยเบาหวานในประเทศไทย ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักอ้วน มีประวัติเป็นเบาหวานในครอบครัว อายุมากกว่า 40 ปี ตับอ่อนยังพอผลิตอินซูลินได้บ้างแต่มีภาวะดื้อต่ออินซูลินในระยะแรกอาจรักษาได้ด้วยการควบคุมอาหารหรือยาเม็ดลดระดับน้ำตาล แต่เมื่อเป็นนาน ๆ ในผู้ป่วยบางรายมีเบต้าเซลล์เสื่อมหน้าที่ทำให้ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ดีอาจจำเป็นต้องฉีดอินซูลิน 3.